8 JULY 2013

4th.


Science Experiences Management for Early Childhood

EAED3207 การจัดประสบการณ์วิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย

เวลา08:30-12:20น. กลุ่มเรียน101 เลขที่16


เนื้อหาสาระความรู้

1. ทำสมุดเล่มเล็กหนึ่งเล่ม วาดดภาพที่ต่อนื่องกันแต่ละหน้าและเมื่อเปิดดูทีละหน้าก็จะเห็นเป็นภาพเคลื่อนไหว

                ฟลิ๊บบุ๊ค (Flipbook) หรือเรียกง่ายๆว่า สมุดดีด คือการวาดภาพเคลื่อนไหวอย่างง่าย ลงในกระดาษ   แผ่นเล็กๆ แล้วนำภาพที่วาดทั้งหมดมาเย็บต่อกันเป็นเล่ม การสร้าง Flipbook นี้เป็นการศึกษาทดลองการสร้างภาพเคลื่อนไหวในขั้นพื้นฐานก่อนที่จะนำไปประยุกต์ เช่น การศึกษาการกระโดดของคน ,การเตะ ,การต่อย เป็นต้น เลือกทำเพียงช่วงหนึ่งของกิจกรรมนั้นๆ การทำFlipbook คือการนำหลักทฤษฎีภาพติดตามาใช้ เมื่อเราเปิดภาพด้วยความเร็ว(ดีดสมุด) จะทำให้เราเห็นว่า ภาพนิ่งทุกภาพที่วาดนั้น เกิดการเคลื่อนไหวได้ กระดาษที่ใช้ทำ Flip Book ควรเป็นกระดาษปอนด์ที่มีความหนาพอควร เพื่อความคงทนในการเก็บรักษา

ทฤษฎีว่าด้วยการเห็นภาพติดตา (Persistence of Vision)  ซึ่งมีหลักการดังนี้
หลักการที่อธิบายถึงการมองภาพต่อเนื่องของสายตามนุษย์ หรือทฤษฎีการเห็นภาพติดตา คิดค้นขึ้นในปี พ.ศ. 2367 (ค.ศ. 1824) โดยนักทฤษฎีและแพทย์ชาวอังกฤษ ชื่อ Dr. John Ayrton Paris ทฤษฎีดังกล่าวอธิบายถึงการมองเห็นภาพต่อเนื่องของสายตามนุษย์ไว้ว่า ธรรมชาติของสายตามนุษย์ เมื่อมองเห็นภาพใดภาพหนึ่ง หลังจากภาพนั้นหายไป สายตามนุษย์จะยังค้างภาพนั้นไว้ที่เรติน่าในชั่วขณะหนึ่ง ประมาณ 1/15 วินาที และหากในระยะเวลาดังกล่าวมีภาพใหม่ปรากฏขึ้นมาแทนที่สมองของมนุษย์จะเชื่อม โยงสองภาพเข้าด้วยกัน และหากมีภาพต่อไปปรากฏขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ก็จะเชื่อมโยงภาพไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าชุดภาพนิ่งที่แต่ภาพนั้นมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยหรือเป็นภาพที่มี ลักษณะขยับเคลื่อนไหวต่อเนื่องกันอยู่แล้ว เมื่อนำมาเคลื่อนที่ผ่านตาเราอย่างต่อเนื่องในระยะเวลากระชั้นชิด เราจะสามารถเห็นภาพนั้นเคลื่อนไหวได้
             อย่างไรก็ตาม มีเคล็ดลับประการหนึ่ง ก็คือ ก่อนที่จะเปลี่ยนภาพใหม่จะต้องมีอะไรมาบังตาเราแว่บหนึ่ง แล้วค่อยเปิดให้เห็นภาพใหม่มาแทนที่ตำแหน่งเดิม โดยอุปกรณ์ที่บังตาคือซัตเตอร์ (Shutter) และระยะเวลาที่ซัตเตอร์บังตาจะต้องน้อยกว่าเวลาที่ฉายภาพค้างไว้ให้ดู มิฉะนั้นจะมองเห็นภาพกระพริบไป ดังนั้น เมื่อเอาภาพนิ่งที่ถ่ายมาอย่างต่อเนื่องหลาย ๆ ภาพมาเรียงต่อกัน แล้วฉายภาพนั้นในเวลาสั้น  ๆ ภาพนิ่งเหล่านั้นจะดูเหมือนว่าเคลื่อนไหว หลักการนี้จึงถูกนำมาใช้ในการสร้างภาพเคลื่อนไหว (Animation) และภาพยนตร์ในระยะเวลาต่อมา


2. อาจารย์สาธิตของเล่นวิทยาศาสตร์ให้ดูคือ...เจาะรูใต้ขวดน้ำ 1 รู เอาน้ำใส่ในขวดและไม่ปิดฝาขวด จะพบว่าน้ำไหลรั่วออกมาจากรูขวดที่เจาะไว้ เพราะน้ำถูกแรงดันของอากาศดันเข้ามาอยู่แทนที่ แต่เมื่อเราใช้ฝาปิดขวดน้ำใบเดิม จะพบว่า น้ำไหลรั่วออกมาจากรู เป็นเพราะไม่มีอากาศเข้าไปดันน้ำและไปอยู่แทนที่ น้ำจึงไม่ไหลออกมาจากขวดน้ำนั่นเอง      
**การทดลองนี้ทำให้เราเห็นว่าอากาศก็มีตัวตนและต้องการที่อยู่**

การทดลองอากาศมีตัวตน

3. เพื่อนๆแต่ละคนออกไปนำเสนอ "ของเล่นวิทยาศาสตร์ "